AGODA

วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เทียวเชียงคาน ผ่านเมืองเลย เลี้ยวกลับเข้าภูเรือ Travel to Loei ตอนที่ 1



                                                                                                    เรื่องเล่าโดย: รุ้งปลายฟ้า


        เพราะความที่รอคอยก๊วนเพื่อนไปเที่ยวด้วยกันมานานแสนนาน แต่ท้ายสุดไม่มีใครว่างพร้อมกันเลย รอจนรอไม่ไหว เพราะใครๆ ก็ว่าเชียงคานนั้นเป็นเมืองที่ยังอุดมไปด้วยวัฒนธรรม ด้วยความที่กลัวว่าหากช้าไปอีกหนึ่งปี อัตราการทำลายสิ่งดีๆ ราวกับไวรัสคงจะทำให้เชียงคานสิ้นความงามไปมากกว่านี้ เราถึงตัดสินใจลากเจ้าหมูอ้วนคู่ซี้ ไปแบบซำเหมากันสองคน ไม่มีแผน ไม่มีแปลนใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากรู้แต่ว่า มีเวลาเที่ยวแค่ วัน เสาร์ อาทิตย์ จันทร์ หนำซ้ำยังไม่รู้ว่าจะไปทางไหน เพราะมีคนแนะนำในเว็ปหลายเส้นทางเหลือเกิน จะไปก๊อปเส้นทางที่ทัวร์จัดเพราะกลัวว่าจะต้องแย่งที่กินที่นอนกันอีก Concept สั้นๆ จึงมีแค่
1. เที่ยว 3 วัน
2. จุดหมายปลายทางคือเชียงคานและภูเรือ โฮ๊ะ...เหมือนทัวร์เลย
3. ใช้เงินให้น้อยที่สุด ...ซำเหมาสุดๆ

         คืนก่อนไปสองคนตาตั้งอยู่หน้าจอคอม แบบไม่รู้ชะตาชีวิต และวินาทีสุดท้าย เราก็สรุปว่าจะเดินทางสวนทางกับที่คนส่วนใหญ่ใช้กัน
        คนอื่นส่วนใหญ่ ไปภูเรือ แล้วถึงจะไปเชียงคาน
        แต่ซำเหมาสองคนจะขับรถตรงดิ่งไปเชียงคานก่อน แล้วค่อยกลับเข้าภูเรือ!
ส่วนเส้นทาง เจ้าหมูอ้วนถามว่าตัดสินใจแล้วหรือยัง แต่...แผนของเรามีแค่ขึ้นมอเตอร์เวย์ถึงทางเลี่ยงเมืองสระบุรี แวะชมเขื่อนลำตะคอง หักเลี้ยวขึ้นไปเรื่อยๆ สู่ถนนสายเล็กอย่างไรก็ต้องถึงจนได้แหล่ะน่า...
        ด้วยความตื่นเต้น เราเตรียมเครื่องกันหนาวไปเสียเพียบ มีผ้าห่มส่วนตัว หมอนส่วนตัว  กะว่าจะนอนในรถ
        
         เชียงคานในจินตนาการต้องโรแมนติกสุดๆ อากาศหนาวสุดๆ และสวยงาม เราคิดว่าจะไปทำมิวสิกสักเพลงสองเพลง ทั้งๆ ที่เจ้าหมูอ้วนบอกว่า นี่มันปลายหนาวนะเพ่!

        
         ถ้าใครคิดจะเดินทางแบบนี้ในช่วงที่เป็นช่วงฤดูท่องเที่ยวจริงๆ คงทำไม่ได้ แต่คนที่เดินทางไปจ.เลยในช่วงปลายหนาวอย่างนี้ก็มีไม่น้อย เมื่อเราตัดสินใจเดินทางสวนกับคนอื่นเพราะไม่เร่งรีบ รถคันหนึ่งวิ่งไปตามทางสายเล็กแบบรถวิ่งสวนกัน ทำให้บางครั้งก็รู้สึกไม่ชินทางเอาเสียเลยยังกลัวๆ ว่าจะหลงทาง แต่ถึงอย่างไรก็สามารถขับรถไปได้เรื่อยๆ 
      
เรายึดทางหลวงหมายเลข 201 เป็นหลัก ผ่านด่านขุนทดดินแดนแห่งนักร้องมัธยมด่านขุนทด แชมป์ชิงช้าสวรรค์ เข้าอ.คอนสวรรค์ ต่อแก่งคร้อ เข้าสู่เขตจ.เลยผ่านภูกระดึง ...ที่นี่...ทำให้เราคิดถึงเมื่อหลายปีก่อนที่ไปขึ้นภูแห่งนี้ เราแวะถามแม่ค้าถึงร้านที่พวกนักท่องเที่ยวใช้เป็นที่พักเมื่อรถมาถึงจากกรุงเทพฯ ตอนเช้ามืดก่อนที่จะรอให้ถึงเวลาที่อุทยานเปิด แต่ก็ต้องนึกเสียดายเพราะนอกจากบริเวณแถวนั้นจะเปลี่ยนไปมากจนจำไม่ได้แล้ว แม่ค้ายังบอกว่าร้านที่พูดถึงได้ล้มหายตายจากไปตามกระแสเวลาเสียแล้ว แต่นั้นความประทับใจยังอยู่กับเราไม่รู้ลืมเพราะนอกจากความสวยงามของป่าไม้แล้ว ยังมีประสบการณ์ชีวิต มิตรภาพ และความเข้าใจในคำว่า 'สังขารไม่เที่ยง'
      
       อีกไม่นานหรอก...ความทรงจำเหล่านี้จะค่อยจางลงไปในแต่ละรุ่นของนักท่องเที่ยว เพราะความสะดวกสบายเข้ามาแทนที่
      
ที่จอดแห่งแรกแบบ  ชิลล์
เขื่อนลำตะคอง Lam Takhong Dam


 
เขื่อนลำตะคองยามเช้า
กุหลาบปลายหนาว

เส้นทางสู่จ.เลย เห็นลิบๆ น่าจะเป็นภูกระดึง สองข้างทางเป็นทุ่งนา ลักษณะจะไม่เหมือนทางเหนือที่จะมีภูเขาสูงมากกว่า


ตลอดทางเราแวะถามคนแค่ สองครั้ง แวะถ่ายรูปเล็กน้อย แล้วมุ่งหน้าเข้าสู่ จ.เลย กลางตัวเมืองมีงานด้วย ยังคิดเลยว่าขากลับไปภูเรือจะแวะเข้าตัวเมืองเพื่อซื้อของที่ระลึก เมื่อเจ้าหมูอ้วนบอกว่าจะซื้อของไปฝากแม่ เราก็เลยบอกว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยมา หารู้ไม่ว่า การเดินทางของเรานั้น เอาแน่เอานอนไม่ได้ ดังนั้นถ้าคิดจะซื้ออะไรแล้วให้รีบซื้อโดยไว อีกเรื่องคือเติมน้ำมัน ถ้าเจอปั๊มก็จัดการเติมให้เรียบร้อย
ป้ายต้อนรับบนถนนที่พุ่งตรงมาจากตัวจังหวัด เห็นแล้วอบอุ่น ดีใจได้มาถึงแล้ว เย้!

          รถไปถึงเชียงคานเมื่อตอนบ่ายแก่ๆ ยังรู้สึกถึงความสงบที่มีอยู่ ยังมองเห็นเมืองที่มีความเป็นเอกลักษณ์ หากเมื่อเข้าไปถึงถนนริมโขงซึ่งเป็นสถานที่ที่หนังสือท่องเที่ยวทั้งหลายต่างบอกว่าน่าสนใจนักหนา แปลก...เรากลับคิดว่าถนนสายกลางของเมืองนั้นน่าสนใจกว่า เพราะถนนริมโขงที่เห็นก็ไม่ต่างกับถนนคนเดินในปาย (เราชอบถนนคนเดินที่แม่ฮ่องสอนมากกว่าปาย) และไม่ต่างกับถนนคนเดินริมแม่น้ำวังที่ลำปาง และคงไม่ต่างกับถนนคนเดินที่มีชื่อเสียงอีกหลายๆ ที่ แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าถนนริมโขงที่เชียงคานจะคลายมนต์เสน่ห์ไปเสียทั้งหมด 

     
ริมโขงยามเย็นของเชียงคาน
ขอเพียงแต่ถ้านักท่องเที่ยวไม่ละเลยว่าเดินทางมาที่นี่เพื่ออะไร ไม่อย่างนั้นกระแสประชาสัมพันธ์แบบกระหน่ำซัมเมอร์เซลล์ก็อาจทำให้เชียงคานไม่ต่างจากปราสาท 'ปายอินเลิฟ' ที่มองไม่เห็นว่าเป็นแม่ฮ่องสอนตรงไหนนอกจากเป็นที่นั่งดื่มกาแฟอีกที่หนึ่ง และเป็นสวนดอกไม้ไว้ถ่ายรูปโก้ๆ เท่านั้น
    

ชื่อบ้านแว่นทิพย์ เดินห่างออกมาจากซอย
สุดท้ายของถ.ริมโขงเล็กน้อย
        ภาระกิจสำคัญคือการหาที่พัก คนไม่ถึงกับแออัดนักเพราะจะว่าไปคนที่มาพักเชียงคานได้เดินทางไปภูเรือแล้ว เหลืออยู่กับพวกที่คิดเหมือนกัน แต่ดูเหมือนเราจะขับรถเร็วทำให้มาถึงก่อนพวกเขา ที่พักริมโขงชมบรรยากาศส่วนใหญ่เต็มและถูกจองเอาไว้ เราเดินเป็นดูถนนหนทางบ้านเรือนพร้อมกับแวะถามที่พัก สุดท้ายเราก็ชั่งใจระหว่างพักห้องริมโขงราคา 800 บาท กับพักที่บ้านของคุณป้าคนหนึ่งเก็บเราคนละ 200บาทนอนที่เตียงนอนที่ตั้งไว้ชั้นล่าง ที่จริงก็ไม่เคยนอนโฮมสเตย์อย่างนี้มาก่อน แต่พอนึกถึงส่วนต่างของเงินแล้วก็พอหยวนๆ เราตกลงกับคุณป้า ว่าแกจะเตรียมข้าวเหนียวสำหรับตักบาตรตอนเช้าให้ เรียกว่าเป็นไฮไลท์ของงานก็ว่าได้ ข้อมูลของนักท่องเที่ยวทุกคนคงเหมือนๆ กันหมด แต่การปฏิบัติขอแต่ละคนสิแตกต่าง แต่จะแตกต่างอย่างไรค่อยมาบอกต่อแล้วกัน


เอาไว้เล่าตอนหน้านะคะ
   



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น