AGODA

วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เทคนิคชงชาให้อร่อย


เทคนิคการชงชาให้อร่อย
            เพื่อนๆ มีใครชอบดื่มชาบ้างคะ ชาเป็นเครื่องดื่มหนึ่งที่เราชอบมากเป็นพิเศษ รองลงมาจากกาแฟ แต่บางครั้งที่ดื่มชาก็ยังนึกสงสัย เพราะชาปัจจุบันนี้มีหลากประเภทมาก คนจีนนี่เค้าดื่มอย่างไรกันนะ?
            ถ้าหากว่าใครสงสัยเหมือนเรา ไม่ต้องเสาะหาที่ไหนไกลค่ะ
            คนจีนเขามีเทคนิคเล็กๆน้อยๆ ค่ะ ที่จะสกัดให้ได้รสชาติและประโยชน์ของชาด้วยน้ำร้อนโดยไม่ให้สารที่ไม่พึงประสงค์หลุดติดออกมาด้วย นอกจากนี้เทคนิคของพวกเขายังสามารถรักษารสชาติ กลิ่นที่ต้องการได้ด้วย

เทคนิคในการชงชาแบบจีนให้อร่อย โดยชานั้นจะเป็นชาจีน หรือชาสมุนไพรก็ได้
1. ใส่ใบชาแห้งลงในกาสำหรับชงชาในปริมาณ 1 - 3 ส่วนของปริมาณกา
2. รินน้ำเดือดลงในกาหนึ่งครั้งก่อน ทิ้งไว้ประมาณ 2-3 วินาทีแล้วเทน้ำทิ้งก่อนเพื่อล้างชาและอุ่นใบชาให้อ่อนตัว
3. รินน้ำเดือดลงในกาอีกรอบ คราวนี้รินได้จนเต็มกาแล้วปิดฝาให้สนิท ทิ้งไว้ประมาณ 5-10 นาที (แล้วแต่ชอบ)
4. รินน้ำชาใส่แก้วดื่ม ควรรินให้หมดกานะคะ เพราะถ้าเหลือเอาไว้จำทำให้รสชาติของน้ำชาที่เหลือฝาดและขม (แต่ใบชาที่เหลือสามารถเติมน้ำร้อนเพื่อชงต่อได้อีกสัก 3-4 ครั้ง แต่ควรเพิ่มระยะเวลาในการแช่ไปอีก เพราะรสชาติและคุณค่าอาจจางลง)



ถ้าหากว่าไม่มีกาก็ใช้แก้วได้ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด
            ให้ใส่ใบชาไป 1/3 ของแก้ว เทน้ำร้อนลงไปก่อนครึ่งแก้ว เวลาเท่ากัน 2-3 วินาทีแล้วเทน้ำแรกทิ้ง จากนั้นถึงจะเติมน้ำร้อนไปจนเต็มแก้ว ทิ้งไว้ 5-10 นาทีแล้วค่อยนำมาดื่ม




           การดื่มชาควรดื่มครั้งละ 1 แก้วนะคะ ถ้าเป็นชาที่มีคุณสมบัติที่เป็นยารักษาโรคให้ดื่มเพียงวันละเท่านี้พอค่ะ เพราะอาจจะทำให้เดเกิดผลข้างเคียงเช่น ในสั่น และท้องเสียเป็นต้น
       เพื่อสร้างความแปลกใหม่ ให้ลองนำชาสักสองสามอย่างมาผสมกันเพื่อให้ได้รสชาติแปลกใหม่นะคะ






Credit: ข้อมูลทางบรรณานุกรมหอสมุดแห่งชาติ เรียบเรียงโดย รมย์รวินฑ์
http://www:In106.multiply.com Weerapon
http://www.weekendhobby.com
http://www.kobos.com
http://www.hoalian.com
http://www.wobuzhidaos.wordpress.com


 

วันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เทียวเชียงคาน ผ่านเมืองเลย เลี้ยวกลับเข้าภูเรือ Travel to Loei ตอนที่ 2


        หลังจากหมดภาระเรื่องที่นอนแล้ว เราสองคนเลยนั่งซักไซ้ไล่เลียงคุณป้าเจ้าของบ้านเรื่องประเพณีการตักบาตรข้าวเหนียว แกก็ว่าตักแต่ข้าวเหนียวก็พอ เพราะตอนสายๆ จะมีคนเอากับข้าวไปที่วัดเอง เป็นอันสรุปว่าพรุ่งนี้ตอนเข้าเรามีกิจกรรมบนถนนสายริมโขงแน่

ก่อนพระอาทิตย์จะตกดิน เราบ่ายหน้าออกจากที่พักมุ่งไปยังแก่งคุดคู้ซึ่งอยู่ไม่ไกลสักเท่าไหร่ ไปไม่ยากเลย และไม่ไกลจากตัวเมืองสักเท่าไหร่ แค่ขับรถไปตามป้ายเท่านั้น  ลึกๆ ในใจแสวงหาอากาศหนาวที่ยังพอมีเหลืออยู่ และวาดภาพเอาไว้ว่าแกงคุดคู้คงเหมือนแก่งตะนะที่อุบล 


ตอนที่ไปถึงแดดกำลังอ่อนแรงลงบ้างแล้ว นักท่องเที่ยวต่างพากันไปชักภาพที่จุดสำคัญอย่างหลักกิโลเมตรที่ 0 ของเชียงคาน (คิดว่าใครที่เคยไปคงมีรูปนี้เก็บเอาไว้แน่ๆ) เราก็ไปถ่ายกับเค้าด้วย แต่ต้องต่อคิวกันหน่อยนะ เล็งจังหวะให้ดี ไม่อย่างนั้นไม่จะมีคนติดเป็นแบ็กกราวน์เต็มแน่
เริ่มต้นที่กม 0 เห็นคำว่าท่าลี่ แต่ไม่ได้สนใจว่าจะมาเกี่ยวข้องกับการเดินทางตอนไหน


เราเดินถ่ายภาพตรงส่วนบนของแก่งมองเห็นเป็นมุมกว้าง มีร้านขายอาหารตรงชายหาดเป็นแนวยาว คนแถวนี้คงใช้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ

แก่งคุดคู้ ที่ชมวิวด้านบน
คนอื่นถ่ายวิว แต่เรามัวแต่ก้มถ่ายรูปก้อนหินสีสวยๆที่อยู่ริมน้ำ

เราต้องเดินลงบันไดสูงลงไปตรงหาดข้างล่าง
ฝั่งตรงข้ามเป็นฝั่งลาว ตรงนี้ใกล้กันมาก นักท่องเที่ยวสามารถเช่าเรือไปท่องเที่ยวได้
เห็นฝั่งขะโน้นแล้วรู้สึกว่าแท้จริงพวกเราก็คนเชื้อชาติเดียวกัน ห่างกันแค่ลำน้ำโขงเท่านั้น

          ใกล้ค่ำแล้วอากาศเริ่มเย็นพอประมาณไม่ถึงกับหนาวมาก เรากับเจ้าหมูอ้วนชวนกันกลับ มีแวะเข้าไปไหว้พระที่วัดแห่งหนึ่งก่อน ที่อยู่ตรงข้ามสำนักสงฆ์และโรงเรียน ใกล้ๆกับแก่งคุดคู้ ระหว่างทาง โบสถ์ที่นี่ดูเรียบง่ายดี ไม่ได้ตกแต่งลงรักปิดทองหรูหราเหมือนของอยุธยา แต่ให้ความรู้สึกธรรมดาและเรียบง่ายดีเหมือนกัน เสียดายเพราะใกล้ค่ำแล้วเลยไม่สามารถโอ้เอ้ถ่ายรูปได้


หลังจากหาข้าวเย็นที่ไม่ใช่ข้าวปุ้นน้ำแจ่วใส่ท้องเรียบร้อยแล้ว ก็กลับไปจอดรถตรงที่พักก่อน โฮมสเตย์ของคุณป้าที่ว่างในตอนแรกกลับเต็มขึ้นมาทันที  หนำซ้ำคนที่มาพักทีหลังขอเปลี่ยนให้เราสองคนไปนอนห้องส่วนตัวข้างบนซึ่งราคาแพงกว่า ส่วนพวกขอนอนข้างล่างโดยที่เราไม่ต้องจ่ายเพิ่ม เลยสบายไป  



      อาจเป็นเพราะเราเป็นคนเหนือ และเดินทางดูถนนคนเดินมาหลายจังหวัดแล้วจึงรู้สึกเฉยๆ ยังไม่มีอะไรที่แตกต่างไปจากที่เคยเห็นมา ของฝากก็ไม่มีจะให้ใครเป็นพิเศษ เลยเดินและหาของกินเสียมากกว่า น้องๆ วัยรุ่นนักท่องเที่ยวยังเดินอยู่อยู่กันเต็ม ถ้าเป็นวันหยุดกับเวลาท่องเที่ยวจริงๆ ผู้คนคงเบียดเสียดกันน่าดู ธีมของถนนคงคล้ายที่ปาย แม่ฮ่องสอน เสียดายที่ไม่มีฝีมือถ่ายรูป มีปัญญาเรื่องจัดกล้องเรื่องแสงตลอด

ขออภัยวางรูปที่มีตัวเราไม่ได้เดี๋ยวเจ้านายรู้ว่าหนีงานไปเที่ยว
           เดินๆ กินๆจนเหนื่อย อากาศเหมือนจะเย็นแต่พอไปอยู่รวมกันมากๆ ก็อบอุ่นจนร้อนโดยปริยาย ไม่ต้องใส่เสื้อกันหนาวเสียด้วยซ้ำ ตอนแรกตั้งใจว่าจะขับรถไปดูบรรยาศรอบๆในเมือง แต่เกรงใจคุณป้าเจ้าของบ้านต้องมาคอยเปิดประตูให้ เลยตัดสินใจพักผ่อน ตั้งใจว่าพรุ่งนี้จะตักบาตรแล้วเดินชมวัดอีกสักรอบแล้วเดินทางออกไปภูเรือ โดยจะผ่านเข้าทางตัวจังหวัดก่อน พรุ่งนี้จะได้ตักบาตรข้าวเหนียวแล้ว !